NOTES OF GUIDED MEDITATIONS BY H.H.SHRI MATAJI NIRMALA DEVI to Men at Cabella ligure on the 21st & 22nd September 1991 (Synopsis)
ศรีมาตาจีเริ่มต้นโดยกล่าวว่าขณะทำ ‘นมัสการ’ ควรวางมือราบเปิดฝ่ามือ ห่างจากสหัสราระ และถ้าเป็นไปได้ หน้าผากควรแตะพื้น
ศรีมาตาจีสำรวจดูว่าพวกผู้ชายนั่งกันอย่างไรแล้วแนะนำว่า เราควรนั่งในท่าที่สบายๆ ขาทั้งสองข้างไม่ต้องชิดกันมาก แต่วางห่างกันเล็กน้อยผ่อนคลาย เรียกว่า ‘สหจะอาสนะ’ (หรือสหัชอาสนะ) ฝ่ามือทั้งสองวางราบ หงายฝ่ามือเปิดเสมือนกำลังรองรับสิ่งที่มีค่ายิ่ง
จากนั้นท่านเริ่มอธิบายถึงการปฏิบัติสำหรับจักรบนศีรษะ โดยใช้มือข้างซ้ายเคลื่อนไหว วางมือขวาบนตัก ฝ่ามือหงายขึ้น
“เป็นการทำให้ตัวเราสมดุล ถ้าคุณกำลังมีการอุดตันบนฝั่งซ้าย ให้แก้ไขด้วยด้านขวา”
ศรีมาตาจีตั้งต้นที่วิศุทธิจักร ซึ่งมีจุดเริ่มเหนืออักนียะเพียงเล็กน้อย ใช้นิ้วชี้ซึ่งเป็นนิ้วของวิศุทธิ กดลงอย่างช้าๆตรงจุดที่เป็นโคนของเส้นผมแล้วลากลงมาเล็กน้อย และเลื่อนนิ้วขึ้นอีกเล็กน้อยทางด้านขวางของหน้าผากขีดกลับเป็นลักษณะเหมือนไม้กางเขน
“ถ้าคุณมีการอุดตันที่วิศุทธิหมายความว่าคุณไม่มีจิตสำนึกของการรวมกลุ่ม”
อักนียจักรอุดตัน ท่านขอให้เราภาวนาเงียบๆ ว่า ‘มาเตรยา ท่านคือมาเตรยา’ (ซึ่งเป็นฝั่งซ้ายของเอกทศฤทธา) พร้อมกับกดมือลงหมุนที่อักนียจักรเล็กน้อย ซึ่งช่วยได้ “ดีขึ้น...”
บนศีรษะต่อไปด้านหลัง ขึ้นไปจากวิศุทธิ คือนาภีขวา แล้วจึงสหัสราระพร้อมกับหัวใจฝั่งซ้ายและขวาที่ข้างๆ แต่กลับกัน หัวใจซ้ายอยู่ด้านขวาและหัวใจขวาอยู่ด้านซ้ายของสหัสราระ แล้วจึงเป็นนาภีซ้าย “คุณสามารถรู้สึกได้เมื่อจักรนี้อุดตันคือจะเป็นก้อนแข็งและหนัก”
ด้านหลังต่อไปอีก ที่แต่ละฝั่งของอักนียจักรด้านหลัง- ซึ่งศรีมาตาจีกล่าวถึงจุดนี้ในฐานะมูลาธาระ – เป็นฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของสวาธิษฐาน ในด้านกลับกันเช่นเดียวกันคือฝั่งซ้ายอยู่ด้านขวาและฝั่งขวาอยู่ด้านซ้าย
ศรีมาตาจีรักษาให้สองสามนาทีแล้วมาที่อีโก้ด้านบนฝั่งซ้ายของหน้าผาก และ”เงื่อนไข”ที่ด้านบนฝั่งขวา ออกไปด้านหลังจนถึงหู เรานวดที่ตำแหน่งของจักรเหล่านี้ไปตามลำดับ สำหรับอีโก้เราสามารถสวดมนตร์ “พุทธะ หรือ มาเตรยะ”
ตอนนี้ให้หลับตาและตั้งสติที่สหัสราระ เมื่อความคิดกำลังจะเข้ามา – ความคิดต่างๆ จะเข้ามาแน่นอน- คุณสามารถสวด Bija Mantra “กษมา” เป็นมนตร์สำหรับการให้อภัย เพียงท่องว่า “กษมา กษมา” คุณสามารถสวดมนตร์นิรวิจาราสมาธิได้ด้วย ตอนนี้ปล่อยวางปัญหาของคุณให้แก่พลังศักดิ์สิทธิ์
ศรีมาตาจีหลับตาและเข้าสมาธิ และแล้ว “ง่ายสำหรับแม่ แม่ไม่มีปัญหา”
ท่านยิ้มและหัวเราะขณะพูดถึงคำๆ นี้ ‘ปัญหา’ ซึ่งเป็นคำที่พวกเขาเรียนกันในวิชาเรขาคณิต
“เพียงแต่อย่าตั้งสติของคุณกับปัญหาต่างๆ แล้วคุณจะขึ้นไปถึงระดับของตุรยา ตุรยาหมายถึงระดับที่สี่
คุณจะกระโดดเข้าไปในมิติที่สี่ ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณเห็นภูเขาเหล่านี้และธรรมชาติ คุณจะอยู่ที่นั่นและกระโดดเข้าไปในนั้น เป็นการฝึกสติ เพื่อว่าเวลาที่คุณเจอวิกฤตการณ์ คุณก็จะอยู่ที่นั่นโดยอัตโนมัติ และทุกอย่างจะเรียบร้อย
คุณถูกลิขิตไว้ให้มาถึงจุดนี้ คิดดูว่าคุณเป็นเพียงสิ่งที่เล็กน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรของโลก ดังนั้น ตอนนี้แค่ปล่อยวางปัญหาให้พลังศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับการลงจอดของเครื่องบิน ทั้งหมดถูกกำหนดไว้แล้ว แค่ลงจอดโดยไม่ต้องพยายามทำสิ่งใด”
ศรีมาตาจีกล่าวต่อไปว่า “เนื่องจากแม่ได้ให้การตระหนักรู้แก่คุณ บทสวดมนตร์ที่มีพลังมากที่สุดจึงได้แก่ ‘ศรีมาตาจี นิรมลา เทวี นโม นมาฮ’
เมื่อคุณเริ่มนั่ง (เพื่อฝึกสมาธิ) คุณอาจจะรู้สึกถึงการอุดตันหรือความร้อน ไม่จำเป็นว่าจะเป็นตัวคุณ อาจจะเป็นผู้คนรอบๆ คุณหรือบรรยากาศ ไม่ต้องกังวล
แต่เมื่อคุณนั่งลงแบบบุคคล (โดยลำพังตนเอง) ต่อหน้ารูปของแม่ คุณจึงจะเห็นว่าคุณเป็นอย่างไร สิ่งที่แม่เห็นคือการทำบันธัน ก่อนอื่น โดยทั่วไป สิ่งแรกเราควรผูกกุณฑลินีและทำบันธัน
ศรีมาตาจีกล่าวว่าสติควรอยู่ที่มือข้างซ้าย ซึ่งเราควรมองในมือซ้ายขณะผูกพลังกุณฑลินี เมื่อท่านผูกพลัง ท่านหมุนเฉพาะมือขวา ในการผูกครั้งที่สาม มือข้างขวาเท่านั้นที่ดึงออกไป
อารธา กาวาช (การปกป้องครึ่งส่วน)
การทำบันธัน ศรีมาตาจีสาธิตวิธีทำบันธันสำหรับการปกป้องเป็นกิจวัตรและทำการเคลื่อนไหวพิเศษสามครั้งในการมือขวาขึ้นสูงจากฝั่งซ้ายมายังฝั่งขวา โดยไม่ต้องยกกลับ (คล้ายกับการยกฝั่งซ้ายและลดลงทางฝั่งขวา) ท่านกล่าวว่าการยกแต่ละครั้งนับเป็นครึ่งหนึ่ง ดังนั้น การยกไปเจ็ดครั้ง (โดยไม่ต้องยกกลับ)คือการปกป้องครึ่งหนึ่ง ซึ่งท่านกล่าวว่ารวมเป็นสามรอบครึ่ง
บูรณา กาวาช (การปกป้องสมบูรณ์)
การปกป้องแบบนี้เป็นแบบปกติของเรา ซึ่งศรีมาตาจีอธิบายว่าเป็นไปเพื่อเวลาที่เราเผชิญกับบุคคลที่อันตรายหรือวิกฤตการณ์
ในตอนจบของการฝึกสมาธิ ท่านได้กล่าวถึงภาวะของตุรยาอีกครั้งหนึ่ง เป็นภาวะที่คุณกระโดดเข้าสู่การหยุดคิดอย่างมีสติโดยอัตโนมัติ และสุดท้ายท่านกล่าวว่า
คุณไม่ควรพูดมาก แม่เห็นว่าคุณสูญเสียพลังไป ถ้าคุณอยากพูด ให้พูดเกี่ยวกับสหจะโยคะ ไม่ใช่เกี่ยวกับความไม่ดีของคนอื่น แต่เกี่ยวกับความดีที่คนอื่นๆ ได้ทำ
บันทึกการฝึกสมาธิ 22กันยายน 2524
ศรีมาตาจีเริ่มต้นโดยการพูดว่า “อย่ายอมให้ใครมีอิทธิพลเหนือคุณ คุณเป็นเอกเทศทุกคน ถ้าคุณยอม คุณจะไปฝั่งซ้าย ที่ซึ่งคุณเก็บกด (อารมณ์) และสามารถถูกครอบงำได้มาก ถูกครอบงำอย่างเลวร้ายมาก คุณจะเข้าไปในจิตใต้สำนึกส่วนรวม ที่ซึ่งสามารถก่อโรคแก่คุณได้ถึงขั้นมะเร็งเลยทีเดียว เมื่อมีบางคนพยายามควบคุมคุณ คุณต้องหัวเราะ ทำให้เป็นเรื่องตลกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณต้องไม่ถูกควบคุมโดยภรรยาหรือสามี
ศรีมาตาจีได้เล่าเรื่องของพระศิวะและปารวตี ซึ่งออกไปเดินเล่นและพบงูตัวหนึ่ง งูพูดว่า ‘ฉันต้องการไปนั่งสมาธิ’ ดังนั้นทั้งสองท่านตอบว่า ‘ตกลง ไปที่ใต้ต้นไม้นั่น นั่งสมาธิกันที่นั่น’
เมื่อพวกท่านเดินกลับมาภายหลังก็พบว่างูนอนอยู่ตรงนั้น ถูกตีอย่างทารุณและฟกช้ำด้วยบางส่วนถูกถลกออกไป ท่านถามว่าเกิดอะไรขึ้น งูเล่าว่าถูกพวกเด็กผู้ชายเอาก้อนหินขว้างขณะเข้าสมาธิ พระศิวะจึงกล่าวว่า ‘เราบอกให้เจ้านั่งสมาธิ แต่ไม่ได้บอกว่าอย่าส่งเสียงขู่ฟ่อๆ ’
ศรีมาตาจีกล่าวต่อไปว่าผู้ชายต้องไม่วางอำนาจเหนือภรรยา แต่ปฏิบัติต่อพวกเธอด้วยปัญญาที่จะจัดให้พวกเธอทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี
“ผู้หญิงพัฒนาทางจิตวิญญาณได้มากกว่า ปกติเธอเป็นฝ่ายของอารมณ์ พวกเธอมีอารมณ์ความรู้สึกมากกว่า เพื่อที่จะสามารถบรรลุถึงความภักดีได้ง่ายกว่า แต่ถ้าพวกเธอไม่เคารพการตระหนักรู้ในตนเองก็จะตกต่ำลงได้... ในขณะที่สำหรับพวกผู้ชาย ภักดี(การอุทิศตน) เป็นขั้นต่อไป
ศรีมาตาจีได้ยกตัวอย่างของรถม้า ซึ่งผู้ชายและผู้หญิงเป็นล้อรถ
“แต่ซ้ายควรอยู่ด้านซ้าย ขวาอยู่ด้านขวา พวกคุณเท่าเทียมกันแต่ไม่เหมือนกัน ล้อข้างหนึ่งไม่ควรเล็กกว่า มิฉะนั้นรถจะแล่นหมุนวนเป็นวงกลม ในการแต่งงาน คุณเป็นเพื่อนซึ่งกันและกัน...ตอนนี้ขอให้เรามานั่งสมาธิโดยความภักดี
ศรีมาตาจีวางมือขวาบนหัวใจและพวกผู้ชายทำตาม
“ตอนแรกคุณต้องนั่งต่อหน้ารูปของแม่และวางแม่ในหัวใจของคุณ โดยความคิดเช่นกัน คุณต้องมองออกทุกสิ่งทุกอย่างที่สหจะได้ทำเพื่อคุณในชีวิตของคุณ และความหมายของการอวตารของแม่ที่มีต่อพวกคุณและโลกทั้งหมดโดยรวม
ท่านกล่าวต่อไปว่าเมื่อใดที่เราอยู่ในความภักดี เราจะไม่รู้สึกเป็นทุกข์ ทั้งหมดกลายเป็นบทละคร เมื่อเราอยู่ในความภักดี ใครจะมาแตะต้องเราได้ แต่เมื่อบางคนควบคุมเรา ความภักดีของเราจะสูญสลายไป
ในทำนองเดียวกัน ถ้าใครบางคนยกย่องเรา เราก็จะดีใจเพราะอีโก้ของเรา เหมือนเหรียญรูปีที่มีสองด้าน ให้ความสุขและไร้สุข
แต่ “ถ้าคุณสามารถกระโดดลงไปในความภักดีนี้ได้ ไม่ว่าใครก็จะก้าวหน้าขึ้นอย่างสูงมากโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ “
ศรีมาตาจีอธิบายอีกครั้ง ถึงวิธีที่เราควรนั่งอย่างสบายๆ ผ่อนคลาย เปิดฝ่ามือวางราบ
“สำหรับความภักดีไม่มีวิธีหรือเทคนิค ไม่มีกฎหรือระเบียบสำหรับความภักดี ตอนนี้ยกมือของคุณ ในความภักดี ก้มศีรษะลงด้วย
ทุกคนยกมือขึ้นเหนือเข่าเล็กน้อย หันปลายฝ่ามือไปทางศรีมาตาจี และก้มศีรษะลงต่อต่อแผ่นดิน “ก่อนอื่นวางมือขวาบนสหัสราระแล้วหมุนตามเข็มนาฬิกา (ตรงนี้ศรีมาตาจีเข้าสมาธิชั่วครู่โดยมือของท่านวางบนสหัสราระ )
ศรีมาตาจีได้กล่าวต่อเกี่ยวกับความศรัทธาที่ผู้คนมีในพระคริสต์ หรือพระกฤษณะ หรือพระแม่มาดอนน่า โดยเฉพาะ
“ขณะนี้เทพเหล่านี้ทั้งหมดอยู่กับแม่ และท่านกำลังพยายามแสดงให้คุณเห็นโดยผ่านรูปต่างๆ ของแม่และปาฏิหาริย์ทั้งหลาย ตอนนี้พวกเด็กๆ ลูกของคุณจะมีความรู้สึกนี้ต่อแม่ อย่างเป็นอัตโนมัติจริงๆ พวกเขาโชคดีที่มีพ่อแม่เป็นสหจะโยคี
ศรีมาตาจีนำสมาธิต่อไปโดยกล่าวว่าผู้ที่เป็นคริสเตียนควรภาวนาในใจ (โดยเฉพาะสำหรับฝั่งซ้าย) ผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียนควรพูดว่า ท่านคือเทวีหรืออาทิศักติ (ในระหว่างนี้มีพลังไวเบรชั่นแรงมาก ศรีมาตาจีนั่งอยู่ในภวังค์ลึกของสมาธิ ในความสง่างามของท่าน ท่านพักมือไว้บนตัก หลับตา อยู่ในความสงบเงียบอย่างสมบูรณ์)
หลังจากนั้น ศรีมาตาจีเปิดเพลงในเทปใหม่ของนักร้องและผู้เขียนบทภาพยนตร์ชาวอินเดียผู้พิการทางสายตา ชื่อ รวินทรา เชน ร่วมด้วยนักร้องผูมีชื่อเสียงอีกคนหนึ่งคือเฮมาลตา ศรีมาตาจีอธิบายว่าขณะนี้เขากำลังเขียนเพลงเกี่ยวกับท่านและสหจะโยคะและให้ความรักในหัวใจอย่างมากในดนตรีของเขา บทเพลงเต็มไปด้วยการอุทิศตน ซึ่งภายหลังศรีมาตาจีได้กล่าวว่าเนื้อเพลงได้บรรจุชื่อของท่านเพิ่มขึ้นสองชื่อนอกเหนือไปจากหนึ่งพันชื่อของเทวี ท่านรู้สึกประทับใจกับชื่อทั้งสองและให้คำอธิบายอันงดงามของความหมายของชื่อ ‘โยคะนิรูปณะ’ ว่า ‘การให้คำบรรยายของโยคะ’ (คำอธิบายอย่างลึกและถูกต้องของโยคะ)
ศรีมาตาจีกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีการอธิบายถึงโยคะ ไม่มีอวตารท่านใดได้บอกไว้ นักบุญอินเดียผู้ยิ่งใหญ่ เช่น กยเนศวรา ผู้สิ้นชีพไปเมื่ออายุ23 และตุการาม ก็ไม่ได้อธิบายถึงตุรยา เพราะว่าท่านทั้งหลายไม่สามารถที่จะพูดจากับประชาชนได้ สหจะโยคีไม่ได้อยู่ที่นั่นในเวลานั้นที่จะเข้าใจวิชาที่ละเอียดอ่อนนี้
‘ธรรมวิกสินี’ ‘ดอกไม้ที่กำลังผลิ การผลิบานของธรรมะ’ (เมื่อการลักขโมย การโกหกหลอกลวง ฯลฯ หมดไป และศีลธรรม ความเมตตากรุณา ความซื่อสัตย์เริ่มปรากฏขึ้น)
ศรีมาตาจีแสดงให้เห็นโดยกระพุ่มมือของท่านคล้ายดอกไม้ตูม เช่น ดอกบัว แล้วเปิดออกขณะที่ท่านอธิบายถึงการผลิบานของ ’ดอกไม้ตูมแห่งธรรม’
“และแล้วกลิ่นหอมของธรรมจะเริ่มกระจายออกมา เต็มไปทั่วบรรยากาศ...”
ศรีมาตาจีกล่าวเกี่ยวกับความภักดีอีกโดยอ้างถึงกวีนิพนธ์สองบรรทัดซึ่งพูดว่า ‘ในหัวใจของเธอคือภาพแห่งความรัก ถ้าเธอก้มศีรษะลงก็จะเห็นภาพนี้’
“มองที่รูปของแม่ และวางแม่ใส่ลงในหัวใจของคุณ “(ศีรษะของทุกคนก้มลงคารวะแด่ท่าน) “ความจริงคุณสละอีโก้ของคุณต่างหาก...ภควัตคีตาเขียนไว้ว่า...เธอจำเป็นต้องฝึกสมาธิ เช่นเดียวกับดนตรี เธอต้องฝึกซ้อม วันนี้อย่างนี้ พรุ่งนี้อย่างนี้”
ศรีมาตาจีกล่าวด้วยว่าสิ่งที่สำคัญไม่ใช่การนั่งสมาธินานแค่ไหน แต่อยู่ที่ความลึก แล้วท่านได้บอกวิธีรักษาสำหรับโรคหวัดและน้ำมูกไหลตอนเช้า ให้กินใบกะเพราและเมล็ดพริกไทยดำตากแห้งผสมเนยบริสุทธิ์ (กี)
ศรีมาตาจีพูดเกี่ยวกับรัสเซียที่ปัจจุบันนี้ประชาชนไม่ชอบเลนิน แต่พวกเขาไม่ตระหนักว่าเขาได้ทำอะไรไว้ให้ เขาทำให้ประชาชนพิจารณาตัวเอง
เกี่ยวกับสหจะโยคีที่รัสเซีย ท่านพูดถึงความภักดีและอุทิศตนอย่างมากของพวกเขา และนักดนตรีที่นาคปุระซาบซึ้งใจเพียงใดในความรักและความภักดีที่โยคีรัสเซียมีต่อศรีมาตาจี สุภาพสตรีผู้หนึ่งต้องการให้พวกเขาดื่มชาและบอกพวกเขาว่า การร้องเพลงสรรเสริญศรีมาตาจีนั้นพวกเขาต้องเป็นเทพบุตรที่มาจากสวรรค์ แต่พวกนักดนตรีตอบว่าไม่สามารถอยู่ต่อ พวกเขาต้องไปให้ทันรถประจำทาง แต่แล้วรถนั้นเครื่องยนต์เสีย และพวกเขาต้องกลับไปหาสุภาพสตรีผู้นั้น ศรีมาตาจีเพิ่มเติมว่า นักดนตรีรู้สึกละอายใจเมื่อได้เห็นความภักดีของโยคีรัสเซีย และพวกเราก็ควรได้ประสบการณ์จากผู้คนเหล่านี้เช่นเดียวกัน
การนั่งสมาธิจบลง ศรีมาตาจีให้พรและกล่าวว่า “ถึงแม้หากว่าแม่ไม่ได้อยู่ที่นี่ คุณก็ควรจะมานั่งสมาธิ พลังไวเบรชั่นจะพัดมาไม่ว่าแม่จะอยู่ที่ไหน”
โอม ตวาเมวา ศักชัท ศรีโยคะนิรูปณะ ศักชัท ศรีนิรมลา เทวี นโม นมาฮ
ศรีมาตาจีเริ่มต้นโดยกล่าวว่าขณะทำ ‘นมัสการ’ ควรวางมือราบเปิดฝ่ามือ ห่างจากสหัสราระ และถ้าเป็นไปได้ หน้าผากควรแตะพื้น
ศรีมาตาจีสำรวจดูว่าพวกผู้ชายนั่งกันอย่างไรแล้วแนะนำว่า เราควรนั่งในท่าที่สบายๆ ขาทั้งสองข้างไม่ต้องชิดกันมาก แต่วางห่างกันเล็กน้อยผ่อนคลาย เรียกว่า ‘สหจะอาสนะ’ (หรือสหัชอาสนะ) ฝ่ามือทั้งสองวางราบ หงายฝ่ามือเปิดเสมือนกำลังรองรับสิ่งที่มีค่ายิ่ง
จากนั้นท่านเริ่มอธิบายถึงการปฏิบัติสำหรับจักรบนศีรษะ โดยใช้มือข้างซ้ายเคลื่อนไหว วางมือขวาบนตัก ฝ่ามือหงายขึ้น
“เป็นการทำให้ตัวเราสมดุล ถ้าคุณกำลังมีการอุดตันบนฝั่งซ้าย ให้แก้ไขด้วยด้านขวา”
ศรีมาตาจีตั้งต้นที่วิศุทธิจักร ซึ่งมีจุดเริ่มเหนืออักนียะเพียงเล็กน้อย ใช้นิ้วชี้ซึ่งเป็นนิ้วของวิศุทธิ กดลงอย่างช้าๆตรงจุดที่เป็นโคนของเส้นผมแล้วลากลงมาเล็กน้อย และเลื่อนนิ้วขึ้นอีกเล็กน้อยทางด้านขวางของหน้าผากขีดกลับเป็นลักษณะเหมือนไม้กางเขน
“ถ้าคุณมีการอุดตันที่วิศุทธิหมายความว่าคุณไม่มีจิตสำนึกของการรวมกลุ่ม”
อักนียจักรอุดตัน ท่านขอให้เราภาวนาเงียบๆ ว่า ‘มาเตรยา ท่านคือมาเตรยา’ (ซึ่งเป็นฝั่งซ้ายของเอกทศฤทธา) พร้อมกับกดมือลงหมุนที่อักนียจักรเล็กน้อย ซึ่งช่วยได้ “ดีขึ้น...”
บนศีรษะต่อไปด้านหลัง ขึ้นไปจากวิศุทธิ คือนาภีขวา แล้วจึงสหัสราระพร้อมกับหัวใจฝั่งซ้ายและขวาที่ข้างๆ แต่กลับกัน หัวใจซ้ายอยู่ด้านขวาและหัวใจขวาอยู่ด้านซ้ายของสหัสราระ แล้วจึงเป็นนาภีซ้าย “คุณสามารถรู้สึกได้เมื่อจักรนี้อุดตันคือจะเป็นก้อนแข็งและหนัก”
ด้านหลังต่อไปอีก ที่แต่ละฝั่งของอักนียจักรด้านหลัง- ซึ่งศรีมาตาจีกล่าวถึงจุดนี้ในฐานะมูลาธาระ – เป็นฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของสวาธิษฐาน ในด้านกลับกันเช่นเดียวกันคือฝั่งซ้ายอยู่ด้านขวาและฝั่งขวาอยู่ด้านซ้าย
ศรีมาตาจีรักษาให้สองสามนาทีแล้วมาที่อีโก้ด้านบนฝั่งซ้ายของหน้าผาก และ”เงื่อนไข”ที่ด้านบนฝั่งขวา ออกไปด้านหลังจนถึงหู เรานวดที่ตำแหน่งของจักรเหล่านี้ไปตามลำดับ สำหรับอีโก้เราสามารถสวดมนตร์ “พุทธะ หรือ มาเตรยะ”
ตอนนี้ให้หลับตาและตั้งสติที่สหัสราระ เมื่อความคิดกำลังจะเข้ามา – ความคิดต่างๆ จะเข้ามาแน่นอน- คุณสามารถสวด Bija Mantra “กษมา” เป็นมนตร์สำหรับการให้อภัย เพียงท่องว่า “กษมา กษมา” คุณสามารถสวดมนตร์นิรวิจาราสมาธิได้ด้วย ตอนนี้ปล่อยวางปัญหาของคุณให้แก่พลังศักดิ์สิทธิ์
ศรีมาตาจีหลับตาและเข้าสมาธิ และแล้ว “ง่ายสำหรับแม่ แม่ไม่มีปัญหา”
ท่านยิ้มและหัวเราะขณะพูดถึงคำๆ นี้ ‘ปัญหา’ ซึ่งเป็นคำที่พวกเขาเรียนกันในวิชาเรขาคณิต
“เพียงแต่อย่าตั้งสติของคุณกับปัญหาต่างๆ แล้วคุณจะขึ้นไปถึงระดับของตุรยา ตุรยาหมายถึงระดับที่สี่
คุณจะกระโดดเข้าไปในมิติที่สี่ ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณเห็นภูเขาเหล่านี้และธรรมชาติ คุณจะอยู่ที่นั่นและกระโดดเข้าไปในนั้น เป็นการฝึกสติ เพื่อว่าเวลาที่คุณเจอวิกฤตการณ์ คุณก็จะอยู่ที่นั่นโดยอัตโนมัติ และทุกอย่างจะเรียบร้อย
คุณถูกลิขิตไว้ให้มาถึงจุดนี้ คิดดูว่าคุณเป็นเพียงสิ่งที่เล็กน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรของโลก ดังนั้น ตอนนี้แค่ปล่อยวางปัญหาให้พลังศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับการลงจอดของเครื่องบิน ทั้งหมดถูกกำหนดไว้แล้ว แค่ลงจอดโดยไม่ต้องพยายามทำสิ่งใด”
ศรีมาตาจีกล่าวต่อไปว่า “เนื่องจากแม่ได้ให้การตระหนักรู้แก่คุณ บทสวดมนตร์ที่มีพลังมากที่สุดจึงได้แก่ ‘ศรีมาตาจี นิรมลา เทวี นโม นมาฮ’
เมื่อคุณเริ่มนั่ง (เพื่อฝึกสมาธิ) คุณอาจจะรู้สึกถึงการอุดตันหรือความร้อน ไม่จำเป็นว่าจะเป็นตัวคุณ อาจจะเป็นผู้คนรอบๆ คุณหรือบรรยากาศ ไม่ต้องกังวล
แต่เมื่อคุณนั่งลงแบบบุคคล (โดยลำพังตนเอง) ต่อหน้ารูปของแม่ คุณจึงจะเห็นว่าคุณเป็นอย่างไร สิ่งที่แม่เห็นคือการทำบันธัน ก่อนอื่น โดยทั่วไป สิ่งแรกเราควรผูกกุณฑลินีและทำบันธัน
ศรีมาตาจีกล่าวว่าสติควรอยู่ที่มือข้างซ้าย ซึ่งเราควรมองในมือซ้ายขณะผูกพลังกุณฑลินี เมื่อท่านผูกพลัง ท่านหมุนเฉพาะมือขวา ในการผูกครั้งที่สาม มือข้างขวาเท่านั้นที่ดึงออกไป
อารธา กาวาช (การปกป้องครึ่งส่วน)
การทำบันธัน ศรีมาตาจีสาธิตวิธีทำบันธันสำหรับการปกป้องเป็นกิจวัตรและทำการเคลื่อนไหวพิเศษสามครั้งในการมือขวาขึ้นสูงจากฝั่งซ้ายมายังฝั่งขวา โดยไม่ต้องยกกลับ (คล้ายกับการยกฝั่งซ้ายและลดลงทางฝั่งขวา) ท่านกล่าวว่าการยกแต่ละครั้งนับเป็นครึ่งหนึ่ง ดังนั้น การยกไปเจ็ดครั้ง (โดยไม่ต้องยกกลับ)คือการปกป้องครึ่งหนึ่ง ซึ่งท่านกล่าวว่ารวมเป็นสามรอบครึ่ง
บูรณา กาวาช (การปกป้องสมบูรณ์)
การปกป้องแบบนี้เป็นแบบปกติของเรา ซึ่งศรีมาตาจีอธิบายว่าเป็นไปเพื่อเวลาที่เราเผชิญกับบุคคลที่อันตรายหรือวิกฤตการณ์
ในตอนจบของการฝึกสมาธิ ท่านได้กล่าวถึงภาวะของตุรยาอีกครั้งหนึ่ง เป็นภาวะที่คุณกระโดดเข้าสู่การหยุดคิดอย่างมีสติโดยอัตโนมัติ และสุดท้ายท่านกล่าวว่า
คุณไม่ควรพูดมาก แม่เห็นว่าคุณสูญเสียพลังไป ถ้าคุณอยากพูด ให้พูดเกี่ยวกับสหจะโยคะ ไม่ใช่เกี่ยวกับความไม่ดีของคนอื่น แต่เกี่ยวกับความดีที่คนอื่นๆ ได้ทำ
บันทึกการฝึกสมาธิ 22กันยายน 2524
ศรีมาตาจีเริ่มต้นโดยการพูดว่า “อย่ายอมให้ใครมีอิทธิพลเหนือคุณ คุณเป็นเอกเทศทุกคน ถ้าคุณยอม คุณจะไปฝั่งซ้าย ที่ซึ่งคุณเก็บกด (อารมณ์) และสามารถถูกครอบงำได้มาก ถูกครอบงำอย่างเลวร้ายมาก คุณจะเข้าไปในจิตใต้สำนึกส่วนรวม ที่ซึ่งสามารถก่อโรคแก่คุณได้ถึงขั้นมะเร็งเลยทีเดียว เมื่อมีบางคนพยายามควบคุมคุณ คุณต้องหัวเราะ ทำให้เป็นเรื่องตลกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณต้องไม่ถูกควบคุมโดยภรรยาหรือสามี
ศรีมาตาจีได้เล่าเรื่องของพระศิวะและปารวตี ซึ่งออกไปเดินเล่นและพบงูตัวหนึ่ง งูพูดว่า ‘ฉันต้องการไปนั่งสมาธิ’ ดังนั้นทั้งสองท่านตอบว่า ‘ตกลง ไปที่ใต้ต้นไม้นั่น นั่งสมาธิกันที่นั่น’
เมื่อพวกท่านเดินกลับมาภายหลังก็พบว่างูนอนอยู่ตรงนั้น ถูกตีอย่างทารุณและฟกช้ำด้วยบางส่วนถูกถลกออกไป ท่านถามว่าเกิดอะไรขึ้น งูเล่าว่าถูกพวกเด็กผู้ชายเอาก้อนหินขว้างขณะเข้าสมาธิ พระศิวะจึงกล่าวว่า ‘เราบอกให้เจ้านั่งสมาธิ แต่ไม่ได้บอกว่าอย่าส่งเสียงขู่ฟ่อๆ ’
ศรีมาตาจีกล่าวต่อไปว่าผู้ชายต้องไม่วางอำนาจเหนือภรรยา แต่ปฏิบัติต่อพวกเธอด้วยปัญญาที่จะจัดให้พวกเธอทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี
“ผู้หญิงพัฒนาทางจิตวิญญาณได้มากกว่า ปกติเธอเป็นฝ่ายของอารมณ์ พวกเธอมีอารมณ์ความรู้สึกมากกว่า เพื่อที่จะสามารถบรรลุถึงความภักดีได้ง่ายกว่า แต่ถ้าพวกเธอไม่เคารพการตระหนักรู้ในตนเองก็จะตกต่ำลงได้... ในขณะที่สำหรับพวกผู้ชาย ภักดี(การอุทิศตน) เป็นขั้นต่อไป
ศรีมาตาจีได้ยกตัวอย่างของรถม้า ซึ่งผู้ชายและผู้หญิงเป็นล้อรถ
“แต่ซ้ายควรอยู่ด้านซ้าย ขวาอยู่ด้านขวา พวกคุณเท่าเทียมกันแต่ไม่เหมือนกัน ล้อข้างหนึ่งไม่ควรเล็กกว่า มิฉะนั้นรถจะแล่นหมุนวนเป็นวงกลม ในการแต่งงาน คุณเป็นเพื่อนซึ่งกันและกัน...ตอนนี้ขอให้เรามานั่งสมาธิโดยความภักดี
ศรีมาตาจีวางมือขวาบนหัวใจและพวกผู้ชายทำตาม
“ตอนแรกคุณต้องนั่งต่อหน้ารูปของแม่และวางแม่ในหัวใจของคุณ โดยความคิดเช่นกัน คุณต้องมองออกทุกสิ่งทุกอย่างที่สหจะได้ทำเพื่อคุณในชีวิตของคุณ และความหมายของการอวตารของแม่ที่มีต่อพวกคุณและโลกทั้งหมดโดยรวม
ท่านกล่าวต่อไปว่าเมื่อใดที่เราอยู่ในความภักดี เราจะไม่รู้สึกเป็นทุกข์ ทั้งหมดกลายเป็นบทละคร เมื่อเราอยู่ในความภักดี ใครจะมาแตะต้องเราได้ แต่เมื่อบางคนควบคุมเรา ความภักดีของเราจะสูญสลายไป
ในทำนองเดียวกัน ถ้าใครบางคนยกย่องเรา เราก็จะดีใจเพราะอีโก้ของเรา เหมือนเหรียญรูปีที่มีสองด้าน ให้ความสุขและไร้สุข
แต่ “ถ้าคุณสามารถกระโดดลงไปในความภักดีนี้ได้ ไม่ว่าใครก็จะก้าวหน้าขึ้นอย่างสูงมากโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ “
ศรีมาตาจีอธิบายอีกครั้ง ถึงวิธีที่เราควรนั่งอย่างสบายๆ ผ่อนคลาย เปิดฝ่ามือวางราบ
“สำหรับความภักดีไม่มีวิธีหรือเทคนิค ไม่มีกฎหรือระเบียบสำหรับความภักดี ตอนนี้ยกมือของคุณ ในความภักดี ก้มศีรษะลงด้วย
ทุกคนยกมือขึ้นเหนือเข่าเล็กน้อย หันปลายฝ่ามือไปทางศรีมาตาจี และก้มศีรษะลงต่อต่อแผ่นดิน “ก่อนอื่นวางมือขวาบนสหัสราระแล้วหมุนตามเข็มนาฬิกา (ตรงนี้ศรีมาตาจีเข้าสมาธิชั่วครู่โดยมือของท่านวางบนสหัสราระ )
ศรีมาตาจีได้กล่าวต่อเกี่ยวกับความศรัทธาที่ผู้คนมีในพระคริสต์ หรือพระกฤษณะ หรือพระแม่มาดอนน่า โดยเฉพาะ
“ขณะนี้เทพเหล่านี้ทั้งหมดอยู่กับแม่ และท่านกำลังพยายามแสดงให้คุณเห็นโดยผ่านรูปต่างๆ ของแม่และปาฏิหาริย์ทั้งหลาย ตอนนี้พวกเด็กๆ ลูกของคุณจะมีความรู้สึกนี้ต่อแม่ อย่างเป็นอัตโนมัติจริงๆ พวกเขาโชคดีที่มีพ่อแม่เป็นสหจะโยคี
ศรีมาตาจีนำสมาธิต่อไปโดยกล่าวว่าผู้ที่เป็นคริสเตียนควรภาวนาในใจ (โดยเฉพาะสำหรับฝั่งซ้าย) ผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียนควรพูดว่า ท่านคือเทวีหรืออาทิศักติ (ในระหว่างนี้มีพลังไวเบรชั่นแรงมาก ศรีมาตาจีนั่งอยู่ในภวังค์ลึกของสมาธิ ในความสง่างามของท่าน ท่านพักมือไว้บนตัก หลับตา อยู่ในความสงบเงียบอย่างสมบูรณ์)
หลังจากนั้น ศรีมาตาจีเปิดเพลงในเทปใหม่ของนักร้องและผู้เขียนบทภาพยนตร์ชาวอินเดียผู้พิการทางสายตา ชื่อ รวินทรา เชน ร่วมด้วยนักร้องผูมีชื่อเสียงอีกคนหนึ่งคือเฮมาลตา ศรีมาตาจีอธิบายว่าขณะนี้เขากำลังเขียนเพลงเกี่ยวกับท่านและสหจะโยคะและให้ความรักในหัวใจอย่างมากในดนตรีของเขา บทเพลงเต็มไปด้วยการอุทิศตน ซึ่งภายหลังศรีมาตาจีได้กล่าวว่าเนื้อเพลงได้บรรจุชื่อของท่านเพิ่มขึ้นสองชื่อนอกเหนือไปจากหนึ่งพันชื่อของเทวี ท่านรู้สึกประทับใจกับชื่อทั้งสองและให้คำอธิบายอันงดงามของความหมายของชื่อ ‘โยคะนิรูปณะ’ ว่า ‘การให้คำบรรยายของโยคะ’ (คำอธิบายอย่างลึกและถูกต้องของโยคะ)
ศรีมาตาจีกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีการอธิบายถึงโยคะ ไม่มีอวตารท่านใดได้บอกไว้ นักบุญอินเดียผู้ยิ่งใหญ่ เช่น กยเนศวรา ผู้สิ้นชีพไปเมื่ออายุ23 และตุการาม ก็ไม่ได้อธิบายถึงตุรยา เพราะว่าท่านทั้งหลายไม่สามารถที่จะพูดจากับประชาชนได้ สหจะโยคีไม่ได้อยู่ที่นั่นในเวลานั้นที่จะเข้าใจวิชาที่ละเอียดอ่อนนี้
‘ธรรมวิกสินี’ ‘ดอกไม้ที่กำลังผลิ การผลิบานของธรรมะ’ (เมื่อการลักขโมย การโกหกหลอกลวง ฯลฯ หมดไป และศีลธรรม ความเมตตากรุณา ความซื่อสัตย์เริ่มปรากฏขึ้น)
ศรีมาตาจีแสดงให้เห็นโดยกระพุ่มมือของท่านคล้ายดอกไม้ตูม เช่น ดอกบัว แล้วเปิดออกขณะที่ท่านอธิบายถึงการผลิบานของ ’ดอกไม้ตูมแห่งธรรม’
“และแล้วกลิ่นหอมของธรรมจะเริ่มกระจายออกมา เต็มไปทั่วบรรยากาศ...”
ศรีมาตาจีกล่าวเกี่ยวกับความภักดีอีกโดยอ้างถึงกวีนิพนธ์สองบรรทัดซึ่งพูดว่า ‘ในหัวใจของเธอคือภาพแห่งความรัก ถ้าเธอก้มศีรษะลงก็จะเห็นภาพนี้’
“มองที่รูปของแม่ และวางแม่ใส่ลงในหัวใจของคุณ “(ศีรษะของทุกคนก้มลงคารวะแด่ท่าน) “ความจริงคุณสละอีโก้ของคุณต่างหาก...ภควัตคีตาเขียนไว้ว่า...เธอจำเป็นต้องฝึกสมาธิ เช่นเดียวกับดนตรี เธอต้องฝึกซ้อม วันนี้อย่างนี้ พรุ่งนี้อย่างนี้”
ศรีมาตาจีกล่าวด้วยว่าสิ่งที่สำคัญไม่ใช่การนั่งสมาธินานแค่ไหน แต่อยู่ที่ความลึก แล้วท่านได้บอกวิธีรักษาสำหรับโรคหวัดและน้ำมูกไหลตอนเช้า ให้กินใบกะเพราและเมล็ดพริกไทยดำตากแห้งผสมเนยบริสุทธิ์ (กี)
ศรีมาตาจีพูดเกี่ยวกับรัสเซียที่ปัจจุบันนี้ประชาชนไม่ชอบเลนิน แต่พวกเขาไม่ตระหนักว่าเขาได้ทำอะไรไว้ให้ เขาทำให้ประชาชนพิจารณาตัวเอง
เกี่ยวกับสหจะโยคีที่รัสเซีย ท่านพูดถึงความภักดีและอุทิศตนอย่างมากของพวกเขา และนักดนตรีที่นาคปุระซาบซึ้งใจเพียงใดในความรักและความภักดีที่โยคีรัสเซียมีต่อศรีมาตาจี สุภาพสตรีผู้หนึ่งต้องการให้พวกเขาดื่มชาและบอกพวกเขาว่า การร้องเพลงสรรเสริญศรีมาตาจีนั้นพวกเขาต้องเป็นเทพบุตรที่มาจากสวรรค์ แต่พวกนักดนตรีตอบว่าไม่สามารถอยู่ต่อ พวกเขาต้องไปให้ทันรถประจำทาง แต่แล้วรถนั้นเครื่องยนต์เสีย และพวกเขาต้องกลับไปหาสุภาพสตรีผู้นั้น ศรีมาตาจีเพิ่มเติมว่า นักดนตรีรู้สึกละอายใจเมื่อได้เห็นความภักดีของโยคีรัสเซีย และพวกเราก็ควรได้ประสบการณ์จากผู้คนเหล่านี้เช่นเดียวกัน
การนั่งสมาธิจบลง ศรีมาตาจีให้พรและกล่าวว่า “ถึงแม้หากว่าแม่ไม่ได้อยู่ที่นี่ คุณก็ควรจะมานั่งสมาธิ พลังไวเบรชั่นจะพัดมาไม่ว่าแม่จะอยู่ที่ไหน”
โอม ตวาเมวา ศักชัท ศรีโยคะนิรูปณะ ศักชัท ศรีนิรมลา เทวี นโม นมาฮ